ความรู้ >> แก้ปัญหาเสียงแบบไหนดีกว่ากันระหว่าง Cheap vs Sure
KNOWLEDGE
ความรู้

แก้ปัญหาเสียงแบบไหนดีกว่ากันระหว่าง Cheap vs Sure

"การแก้ปัญหาเสียงดังให้สำเร็จตามความต้องการ สามารถเลือกทำได้ 2 แบบ ได้แก่ 1. Cheap (ราคาประหยัด): จะใช้วิธีและวัสดุที่ราคาประหยัด เช่น การใช้วัสดุราคาถูก หรือการปรับเปลี่ยนกระบวนการในทำงาน แม้ว่าอาจไม่มั่นใจว่าจะช่วยแก้ปัญหาเสียงได้อย่างแน่นอน 2. Sure (การรับประกัน): จะใช้วิธีและวัสดุที่มั่นใจว่าจะช่วยแก้ปัญหาเสียงได้อย่างแน่นอน อาจเป็นการลงทุนในเทคโนโลยีหรือวัสดุที่มีคุณภาพสูง เพื่อให้การจัดการกับเสียงมีประสิทธิภาพมากขึ้นและยั่งยืนในระยะยาว"

การจัดการกับเสียงทางอุตสาหกรรมให้สำเร็จตามความต้องการ สามารถเลือกทำได้ 2 แบบ คือ แบบ Cheap และแบบ Sure ซึ่งทั้ง 2 แบบนี้มีข้อแตกต่างกันและมีรายละเอียดที่สำคัญ ดังนี้

Cheap หมายถึง “ถูก” โดยจะเน้นเรื่องราคาเป็นหลัก และความถูกใจ ยกตัวอย่าง เช่น เรามีเครื่องจักรที่เสียงดังติดตั้งใช้งานอยู่ในห้องและส่งเสียงรบกวนคนทำงานที่อยู่นอกห้อง โดยห้องนั้นยังไม่มีวัสดุกันเสียง ประตูก็ยังไม่ใช่ประตูกันเสียง วิธีการของ Cheap ก็คือ ซื้อวัสดุที่สามารถลดความเข้มเสียง หรือ Sound Intensity ลงได้ เช่น การดูดกลืน หรือการกันเสียง เพื่อให้ระดับความดันเสียงออกมาจากห้องนั้นได้น้อยที่สุด แต่เสียงจะลดลงตามที่เราต้องการ หรือลดลงอยู่ในเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดไว้หรือไม่นั้น ไม่อาจทราบได้

Sure หมายถึง “แน่นอน” ก่อนที่จะเลือกวัสดุใดก็ตามไปใช้ในการลดเสียง เราจะต้องมีการเก็บข้อมูล เช่น SWL (Sound Power Level) หรือกำลังเสียง การเก็บข้อมูลความถี่เสียง (Frequencies) มาวิเคราะห์และคำนวณ เพื่อหาค่า TL หรือ Transmission Loss ด้วยวัสดุต่างๆ นอกจากนั้นหากจำเป็นเราอาจต้องใช้ข้อมูลเสียงดังกล่าวมาทำ Simulation หรือ ตัวแบบจำลองทางเสียง เพื่อพยากรณ์หรือทำนายค่าการลดเสียงว่าถ้าใช้วัสดุนั้นเพื่อลดเสียง จะสามารถลดเสียงลงได้จริง และลดเสียงลงได้เท่าไหร่ ซึ่งจะมีความแน่นอนมากกว่าแบบ Cheap

การจัดการกับเสียงทางอุตสาหกรรมสามารถทำได้ 2 แบบ คือ แบบ Cheap และแบบ Sure ซึ่งมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญดังนี้:

แบบ Cheap เน้นที่ราคาและความถูกใจ เช่น การใช้วัสดุที่ลดเสียงให้มีระดับความดันเสียงออกมาน้อยที่สุด แต่ไม่มั่นใจว่าระดับเสียงจะลดลงตามกฎหมายหรือไม่

แบบ Sure ต้องมีการเก็บข้อมูลและวิเคราะห์เช่น SWL, ความถี่เสียง และคำนวณ Transmission Loss เพื่อให้มั่นใจว่าการใช้วัสดุเพื่อลดเสียงจะมีผลลดเสียงอย่างแน่นอน

กล่าวโดยสรุป การเลือกวิธีการจัดการกับเสียงทางอุตสาหกรรมระหว่างแบบ Cheap และแบบ Sure ควรพิจารณาอย่างละเอียดเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด การตัดสินใจนั้นขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น งบประมาณที่มีอยู่ และความเร่งด่วนในการแก้ไขปัญหาเสียงดัง

- ในกรณีที่แหล่งกำเนิดเสียงมีความเข้มเสียงไม่มากหรือมีความถี่สูงส่วนใหญ่ การเลือกใช้แบบ Cheap อาจจะเหมาะสมกว่า เนื่องจากสามารถช่วยลดระดับเสียงอย่างมีประสิทธิภาพ

- แต่ในกรณีที่โรงงานกำลังจะถูกปิดเพราะมลพิษทางเสียงที่ส่งออกไปรบกวนชุมชน การเลือกแบบ Cheap อาจไม่เหมาะสม เนื่องจากไม่มีความแน่ใจว่าการแก้ไขด้วยวิธีนี้จะทำให้ระดับเสียงลดลงจริงหรือไม่

การทดลองและปรับปรุงอีกครั้งอาจเป็นทางเลือกที่ต้องพิจารณาให้ดี เพื่อหลีกเลี่ยงการเสียเวลาและเงินทุนโดยไม่ได้ผลตามที่คาดหวัง การเลือกวิธีการจัดการกับเสียงที่เหมาะสมกับสถานการณ์และความต้องการของโรงงานจะช่วยให้การแก้ปัญหาเสียงมีผลลัพธ์ที่เชื่อถือได้และประสิทธิภาพยิ่งขึ้น